ยินดีต้อนทุกคน สู่ครอบครัว MARK3 Channel

มาร่วมวางแผนการลงทุนกับนักลงทุนมือใหม่

Hero Illustration

ทุกคนน่าจะเคยตั้งเป้าหมายในแต่ละช่วงชีวิตกัน เช่น เราเรียนจบแล้วอยากจะไปทำงานอะไร อยากได้เงินเดือนเท่าไหร่ อยากใช้ชีวิตแบบไหน  ถ้ามีครอบครัวก็คิดว่าจะส่งลูกเราเรียนโรงเรียนอะไร หรือถ้าใกล้เกษียณอาจจะคิดว่าหลังเกษียณอยากจะไปทำอะไรต่อดี

ที่จริงการตั้งเป้าหมายแบบนี้เป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ว่าจะดีกว่าถ้าหากเรามีการวางแผนการเงินเพื่อรองรับเป้าหมายต่าง ๆ ควบคู่กันไปด้วย โดยเราอาจจะระบุเป้าหมายและเวลาในการบรรลุเป้าหมายไว้คร่าว ๆ เช่น เรียนจบแล้วอยากจะไปทำงานในบริษัทด้านการเงินการลงทุนซึ่งต้องมีใบอนุญาต ก็อาจจะวางแผนการอ่านหนังสือเพื่อไปสอบให้ผ่านภายในเวลา 1 ปี แล้วค่อยหางานที่ตัวเองอยากทำต่อไป หรือว่าจะส่งลูกเรียนในอีก 3 ปีข้างหน้าก็ต้องหาโรงเรียนที่เราคิดว่าดี และดูว่าโรงเรียนมีค่าเทอมเท่าไหร่เพื่อกันเงินไว้บางส่วน เป็นต้น

Illustration

1. การวางแผนงบประมาณและค่าใช้จ่าย

อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ว่าแป็นพื้นฐานที่สำคัญเลยครับ เพราะการบันทึกค่าใช้จ่ายทำให้เรารู้ว่าจริง ๆ แล้วเราจ่ายเงินไปกับอะไร เท่าไหร่ และเหลือเงินเก็บในแต่ละเดือนแค่ไหน  ถ้าเหลือมากก็สามารถแบ่งเงินมาออม หรือว่าลงทุนได้มาก ซึ่งจะมีผลให้เราบรรลุเป้าหมายได้มากด้วยครับ

Illustration

2. ระบุจำนวนเงินที่ต้องใช้ในแต่ละเป้าหมายและเวลาที่เราใช้ในการลงทุน

ขั้นตอนนี้จะสอดคล้องกับขั้นตอนที่ 1 คือเราควรวางเป้าหมายให้เหมาะกับเงินออมที่เราเหลือในแต่ละเดือนด้วย เช่น เป้าหมายเกษียณ 12 ล้าน ถ้าเรามีรายได้เดือนละ 60,000  บาท และมีค่าใช้จ่ายเดือนละ 40,000 บาท เท่ากับว่าเรามีเงินที่เหลือจะออมได้มากถึง 20,000 บาทต่อเดือนทีเดียว ถ้าสมมติว่าเงินเดือนเราเพิ่มปีละ 5% (ตัวเลขสมมติ) แล้วเราใช้เวลาลงทุน  20 ปี และได้ผลตอบแทนปีละ 8%  พอครบ 20 ปีเราอาจจะมีเงินเกษียณมากกว่าที่คาดไว้โดยอาจจะมีเงินถึงประมาณ 17 ล้านบาทเลยทีเดียว

Illustration

3. การเลือกสินทรัพย์สำหรับลงทุน

โดยการเลือกสินทรัพย์ควรสอดคล้องกันระหว่างความจำเป็นในการใช้เงิน กับช่วงเวลาในการลงทุนด้วยครับ เช่น กรณีเก็บเงินเพื่อเกษียณอาจจะมีเวลาลงทุนนาน เราอาจจะสามารถเลือกลงทุนในตราสารทุน (หุ้น กองทุนตราสารทุน) ในสัดส่วนที่มากได้ (จะเห็นได้ว่าเงินเกษียณมีความจำเป็นมาก แต่ระยะเวลาลงทุนนาน) แต่ถ้าระยะเวลาน้อยและมีความจำเป็นต้องใช้เงิน เช่น การเก็บเงินดาวน์บ้านภายในเวลา 2 ปี อาจจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ผันผวนและมีสภาพคล่องในสัดส่วนมากกว่า เป็นต้น  ทั้งนี้เพราะสินทรัพย์แต่ละประเภทสร้างผลตอบแทนให้เราได้ไม่เท่ากันนั่นเอง

“ชีวิตคือการลงทุน และลงทุนที่ง่ายที่สุด คือลงทุนกับตัวเอง”

ขั้นตอนการลงทุน 😍

ถามตัวเองว่าเป็นนักลงทุนแบบไหน ?

1) “นักลงทุน” สายพื้นฐาน (Value Investor) หรือ VI 👨🏽‍💻

นักลงทุนสายพื้นฐาน หรือ VI จะเน้นการดูพื้นฐานของหุ้นตัวนั้นเป็นหลัก เช่น ธุรกิจของบริษัท, งบการเงิน, Common Size, อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio), และการหามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (Fair Price) 

โดยนักลงทุนสายพื้นฐาน (VI) จะวิเคราะห์ว่า

  • ธุรกิจหลักของบริษัททำอะไร
  • บริษัทมีคู่แข่งมากน้อยแค่ไหน
  • บริษัทที่เราเลือกมา เป็นผู้นำ หรือ ผู้ตามในอุตสาหกรรมนั้น ๆ 

2) “นักลงทุน” สายเทคนิค (Technical) 📊

นักลงทุนสายเทคนิค (Technical) จะไม่สนใจพื้นฐานของหุ้น เช่น ธุรกิจ งบการเงิน รวมถึง มูลค่าหรือราคาที่แท้จริง (Fair Value)

นักลงทุนกลุ่มนี้จะดูเพียงแค่ปัจจัยทางเทคนิค (Technical) เป็นหลักในการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น โดยไม่สนใจว่าหุ้นตัวนั้นมีราคาสูงหรือต่ำกว่าราคาพื้นที่แท้จริง (Fair Value)

  • ถ้าปัจจัยทางเทคนิคมีสัญญาณซื้อเกิดขึ้น นักลงทุนกลุ่มนี้ก็จะซื้อหุ้นตัวนั้น
  • ถ้าปัจจัยทางเทคนิคมีสัญญาณขาย นักลงทุนสายกลุ่มนี้ก็จะขายหุ้นตัวนั้น

ตัวอย่างปัจจัยทางเทคนิค (Technical) เช่น

  • กราฟ
  • Fund Flow
  • รวมถึง Indicator ต่าง ๆ เช่น EMA, MACD, RSI เป็นต้น

3) “นักลงทุน” แบบผสมพื้นฐานและเทคนิค (Hybrid) 📈

นักลงทุนกลุ่มนี้จะดูทั้งปัจจัยพื้นฐาน (VI) เช่น ธุรกิจ, งบการเงิน, Common Size, อัตราส่วนทางการเงิน (Ratio), และหามูลค่าที่แท้จริง รวมทั้งดูปัจจัยทางเทคนิค (Technical) ควบคู่ไปด้วย เพราะสไตล์การลงทุนทั้งสองแบบจะช่วยส่งเสริมกัน ทำให้การเทรดหุ้นของเรามีประสิทธิภาพมากขึ้น

ถ้าเราซื้อหุ้นโดยดูปัจจัยพื้นฐาน (VI) เพียงอย่างเดียว ก็อาจจะทำให้เราซื้อหุ้นในราคาสูงได้ ถ้าเราเอาปัจจัยทางเทคนิค (Technical) มาช่วยก็จะทำให้เราหาจุดเข้าซื้อได้ดีขึ้น 

4. นักลงทุนสายซิ่ง 📉

จะเป็นรูปแบบการเทรดของผู้ที่ต้องการทำกำไรแบบรายวัน โดยจะใช้วิธีการซื้อและขายทำกำไรเสร็จภายในวันเดียวแบบ “สายซิ่ง” อาจจะเข้าซื้อและถือเป็นหลักนาทีหรือชั่วโมงแต่จะไม่ถือข้ามวัน นักเทรดในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะรอขายทำกำไรในช่วงที่ตลาดคึกคักที่สุด สำหรับในบ้านเราก็คือช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนเป็นต้นไปที่ฝั่งนักลงทุนต่างชาติแถบอเมริกาและยุโรปมีการซื้อขายหนาแน่น

“อยากให้ลงทุนกับหุ้น และพร้อมจะถือไปตลอดชีวิต”